วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชัยชนะจากการไม่เอาชนะ

หากกล่าวถึงการประชันขันแข่ง ชัยชนะคือสิ่งที่ทุกคนที่เข้าแข่งคาดหวัง ในชีวิตความเป็นจริงก็เฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้แม้แค่เกมเดียว แต่ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยแพ้มาก่อน เพียงแต่จะอยู่ในการยอมรับของผู้นั้นหรือไม่

แล้วในจิตในใจของแต่ละคนเป็นเช่นไร เริ่มจากคนแพ้ คงไม่พ้นความผิดหวังเสียใจ อาลัยกับชัยชนะที่อยู่ตรงหน้าแต่คว้าไว้ไม่ได้ ส่วนคนชนะก็คงกระหยิ่มยิ้มย่อง ดีใจ ภูมิใจกับชัยชนะที่ได้มา สำหรับการเสมอซึ่งเกิดไม่บ่อยนักในชีวิตจริงนั้นก็คงหลากหลายเป็นไปได้หมด แล้วสุดท้ายก็จะเดินกลับเข้าสู่สนามแข่ง เข้าสู่วังวนวังเวียนของการแข่งขันครั้งใหม่เช่นนี้เรื่อยไป ก็เข้าสู่วังวนวังเวียนของการชนะ การแพ้ ทุกข์และสุขอย่างนี้ต่อไปเช่นกัน

ผมไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็เคยอยู่ในสนามแข่ง เคยชนะบ้าง เคยแพ้บ้าง ทุกข์สุขคละเคล้าเฉกเช่นเดียวกับทุกท่าน แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สนุกซะแล้วล่ะกับการที่ต้องวิ่งให้เร็ว ปีนให้ไว เหยียบได้เหยียบ ถีบได้ถีบ ไม่ไหวล่ะครับ ทางรอดในเกมคือทางไหนล่ะ

ทางรอด.....ทางรอด....ทางรอด คำนี้มันลอยเข้ามาวนเวียนในห้วงคิดคำนึงของผม ในที่สุดผมก็มองเห็น ทางรอดซึ่งอาจจะมีไม่มากนักในเกมนี้

ทางแรกคือการไม่เล่น แต่ผู้ที่ไม่เล่นคือผู้ที่ละสังขาร ละจากภพภูมินี้ไปแล้ว นั่นก็คือ คนตาย

อีกทางหนึ่งซึ่งระดับปัญญหาอย่างผมพอจะนึกได้นั่นก็คือ การเสมอ

การเสมอเป็นการลงเล่นโดยไม่หวังชัยชนะจากการเล่นเกม คือการหวังชัยชนะจากการไม่เอาชนะ การหวังชัยชนะในครั้งนี้ไม่ใช่ชัยชนะในเกมแต่หากเป็นชัยชนะที่ได้อยู่เหนือเกม เพราะไม่แพ้ก็ไม่ต้องทุกข์ใจ และไม่ชนะเราก็ยังอยู่ได้ไม่มีปัญหา การเสมอจึงเป็นทางออกที่จะทำให้มีชัยเหนือเกม อาจไม่หวือหวาเหมือนชัยชนะ แต่คุณจะไม่ต้องอยู่กับเรื่องน่ารำคาญในการวิ่งไขว่คว้าชัยชนะอีก

แล้ววิธีการเล่นให้เสมอทำอย่างไร?

หลักใหญ่ของการเล่นแบบนี้คือ คุณก็ต้องไม่เป็นคู่แข่งยังไงล่ะครับ แค่จูงมือกันเดินข้ามเส้นชัยไปพร้อมคู่แข่ง เท่านี้คุณก็เสมอแล้ว นี่เป็นการบอกให้มองเห็นภาพชัดๆ ภาพง่ายๆ

ชีวิตจริงจะให้ทำอย่างไร ในเมื่อทุกคนเขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นคู่แข่ง ต่างออกวิ่งเต็มที่ เรายืนนิ่งก็แพ้อยู่ดี ถ้าคุณถามอย่างนี้อยู่ล่ะก็คุณก็ไม่สามารถแข่งเสมอได้หรอกครับ แล้วจะให้ผมบอกวิธีโดยละเอียดก็ไม่ได้ มันสุดแท้แต่ชีวิตของแต่ละคน เพราะทุกคนมีความแตกต่างกัน แต่ถ้าแค่จุดเริ่มต้นของการแข่งเสมอผมพอจะแบ่งปันให้ได้ครับ นั่นคือความพอใจในฐานะแห่งตน การไม่ยกตนไปเปรียบเทียบกับใคร แล้วใช้ชีวิตให้ดีที่สุดด้วยเมตตาและกรุณาอันฉ่ำเย็น นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆที่ทุกท่านที่มีความตั้งใจจริงจะแข่งเสมอน่าจะทำได้ไม่เกินความสามารถ

และสุดท้ายผมขอทิ้งท้ายบทความด้วยเหตุผลของการเขียนบทความนี้ของผม นั่นก็คือ ผมพอใจที่จะเสมอกับคุณทุกคนตราบเท่าที่ผมยังมีลมหายใจ.........

วิรุฬห์บัณฑิต

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กลัว....

ความหวาดหวั่น พรั่นพรึง กลัวเกรง กริ่งเกรง ถือเป็นสัญชาติญาณประจำตัวสัตว์โลก เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่เก่าแก่และมีความสำคัญเพื่อให้หลบเลี่ยงอันตรายต่อชีวิต ทำให้สามารถรอดชีวิต สืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้

มนุษย์เราก็มีสัญชาติญาณของความกลัวเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ แต่มีความลึกซึ้งกว่าสัตว์อื่นๆ ในสัตว์ทั่วไปมักมีความกลัวในสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่มนุษย์เราสามารถมีความกลัวในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ด้วย ซึ่งนี่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ประสบการณ์ การหล่อหลอมจากสังคม

ในสัญชาติญาณความกลัวในสิ่งที่เป็นนามธรรมนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจมาก แม้ความกลัวเหล่านั้นอาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรงถึงตาย แต่เป็นเพราะความกลัวบางอย่างส่งผลต่อระดับของจิตใจ ระดับของจิตวิญญาณ ความเป็นไปของสังคม นี่จึงเป็นอะไรที่ซับซ้อน น่าค้นหา น่าเรียนรู้เป็นอย่างมาก...

ความกลัวในสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น กลัวเสียผลประโยชน์ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวเทคโนโลยี กลัวใจตัวเอง กลัวการเสื่อมยศ กลัวเสียอำนาจ กลัวเสียความรัก กลัวเป็นภาระ กลัวจะเหงา กลัวฟุ้งซ่าน ฯลฯ มีอีกมากมาย บางอย่างมันก็คล้ายจะจับต้องได้ เหมือนเป็นรูปธรรม แต่ว่ามันจะนามธรรมหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับบทความนี้เลยครับ

บทความนี้อยากนำเสนอแง่คิดกับคุณผู้อ่านให้ได้พิจารณาในสิ่งที่คุณผู้อ่านกลัวตามความเป็นจริง ความกลัวในสิ่งนามธรรมนั้น มันก็บอกอยู่ว่ามันเป็นสิ่งสมมุติที่จับต้องมิได้ และแม้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นก็ไม่ทำให้คุณบอบช้ำถึงตาย เว้นเสียแต่คุณจะทำตัวคุณเอง แต่สิ่งที่อันตรายคือ มันมักจะสร้างบาดแผลไว้ในใจ ซึ่งถ้ารักษาเองไม่ได้ก็จะเป็นแผลสาหัสและติดในใจไปแสนนาน ดังนั้นจึงต้องรู้ว่าจะรักษาแผลใจอย่างไร ต้องมีความเข้มแข็งให้เพียงพอที่จะรับศึกนี้ให้ได้ และต้องทำได้ ทำสำเร็จเท่านั้น ท่องไว้ครับ

เนื่องจากมันจะยาวเกินจะลากมาชำแหละความกลัวทีละตัว จึงขอกล่าวโดยรวมๆว่า ความกลัวเหล่านี้เป็นอารมณ์ ไม่ใช่สัญชาติญาณ เราจึงสามารถปฏิเสธความกลัวนี้ได้ครับ เราทำได้โดยการตั้งสติให้มั่น ตั้งความคิดให้ถูก จ้องตากับความกลัวให้ดี มองนานๆ มองให้ลึก อย่าหลบตานะครับ เมื่อมองเข้าไปในแววตาของความกลัวเราจะมองทะลุไปถึงหัวใจของมันครับ ภายในหัวใจของความกลัวนั้นคุณจะเห็นชัดถึงความว่างเปล่า....

ใช่แล้วครับ! มันไม่ได้มีตัวตนมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราสร้างหุ่นกระบอกที่เรียกว่าความกลัวขึ้นเองแล้วเราก็เชิดมันเอง กลัวมันเองครับ

ถ้าคุณทำได้ถึงขั้นนี้ คุณจะเปลี่ยนจากความกลัวเป็นความเข้าใจแล้วล่ะครับ คุณจะเข้าใจว่าสาระสำคัญของความกลัวนั้นอยู่ที่ไหน และอะไรคือสิ่งที่ควรกลัวอย่างแท้จริง แล้วอะไรล่ะที่ควรกลัวอย่างแท้จริง?

จริงๆแล้วนี่คือบททดสอบสำหรับบทความนี้เลยครับ ถ้าคุณตอบได้โดยที่ไม่ต้องดูเฉลยจากผม ถือว่าคุณผ่านได้อย่างไร้ที่ติ เอาไป 5 ดาวเลยครับ สุดยอดมาก

แต่ถ้าใครยังตอบไม่ได้ อย่าเพิ่งรีบร้อนนะครับ หามันให้เจอให้ได้ บททดสอบนี้ไม่มีเวลามาจำกัดจินตนาการของคุณ หาเจอแล้วมาตรวจคำตอบก็ไม่สายครับ รับไป 4 ดาว

ส่วนใคร เปิดเฉลยเลย โดยไม่พยายาม ผมเสียใจกับคุณอย่างสุดซึ้ง เพราะคุณเสียเวลามานั่งอ่านเปล่าๆ และคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ดาวไปเลยซักดวงครับ

ส่วนวิธีการดูเฉลย ให้กด ctrl+F4 นาน 7 วินาที ห้ามเกินนะครับ (ของมันมีอาถรรพ์) แล้วเมื่อครบพอดีมันจะปรากฏสู่สายตา
...
...
...
...
...
...
...
ใครทำตามนะถือว่าคุณไร้สติ เชื่อตามโดยมิไตร่ตรองขอริบดาวคืน 1 ดวงครับ
วิธีดูเฉลย ง่ายๆแค่ ทำแถบดำใต้บรรทัดนี้ก็จะเห็นคำตอบครับ
สิ่งที่ควรกลัวมากที่สุดคือ "การกล้าประพฤติชั่วโดยไตร่ตรอง" ครับ


วิรุฬห์บัณฑิต

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไร

ความฉลาดเป็นจุดเด่นของมนุษย์ที่เรายอมรับกันมาแต่ไหนแต่ไร  จนเราตั้งตนเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรสัตว์ได้ก็ด้วยความฉลาด ความฉลาดของเรานั้นเกิดจากการเรียนรู้ การเรียนรู้ในช่วงรุ่งอรุณของประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นเริ่มจากการทำเพื่อแก้ปัญหาในการดำรงค์ชีวิต และมีการถ่ายทอดกันโดยการบอกต่อ การเรียนรู้ได้พัฒนาไปจนปัจจุบันเป็นการศึกษากันอย่างแพร่หลาย อย่างเป็นระบบเพื่อสรรค์สร้างความฉลาดและความสามารถอันเป็นเลิศ

ปัจจุบันเรื่องของการศึกษา เรื่องของความรู้วิชาการมันก้าวหน้าไปมาก เรียกได้ว่าอยากรู้อะไรอยากเรียนอะไรก็สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีครูมีผู้อยากสอนเยอะแยะไปหมด ความรู้ต่างๆเหมือนอยู่รอบครอบตัวเราเลย อีกทั้งสังคมยังผลักดันให้เราเรียนรู้พัฒนาในด้านวิชาการไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลของความก้าวหน้าด้านการงาน ด้วยเหตุผลของการยกระดับฐานะ ด้วยเหตุผลของการหากลุ่มความร่วมมือ จนถึงด้วยเหตุผลของความพอใจที่ได้เรียนรู้ ทำให้ปริญญาถือเป็นเรื่องพื้นฐานเลย ใครๆก็มีปริญญากันทั้งนั้น ปริญญาใบเดียวอาจไม่พอด้วยซ้ำไป เรียนกันไปกันมาก็เก็บใบปริญญามาสะสมเป็นงานอดิเรก เป็นกันขนาดนั้น ทำให้คนยุคใหม่รู้สึกว่าตัวฉลาด อย่างน้อยก็รู้สึกว่าฉลาดกว่าคนรุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ละกัน

แต่เรียนมามากขนาดไหนก็ยังไม่พ้นต้องมีคำถามต่างๆเกิดขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นคำถามมีสาระหรือไม่ เป็นคำถามที่สามารถตอบได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็มักจะมีคำถามผุดขึ้นมาในชีวิตอย่างไม่ขาดสาย จนสุดท้ายก็ต้องพยายามงัดสิ่งที่ได้เรียนรู้มาทั้งชีวิต ใช้เหตุผลบ้าง ใช้อารมณ์บ้าง ใช้สัญชาติญาณบ้างมาตอบคำถามเรื่อยไป จนพัฒนาองค์ความรู้ที่สับสนและซับซ้อนขึ้นมาในตัวเอง จนเกิดเป็นคำถามชวนหัวว่า "ที่จริงแล้วเรารู้จริง หรือแท้จริงเราไม่รู้อะไรเลย"  เราเหมือนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แก้ปัญหาที่เผชิญตรงหน้าไม่ได้ งงใช่ไหมครับ ชีวิตมันลากมันพาเราไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ จุดที่เรา "ฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไร"

ที่ว่าฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไรคือ ถึงแม้เราเรียนเยอะมีความฉลาดในด้านวิชาการแต่เรากลับฉลาดในด้านศิลปะการดำเนินชีวิตน้อยลง ทำให้เราอาจจะสามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพได้แต่เรากลับเผชิญกับปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่บั่นทอนชีวิต กัดกร่อนทำลายอย่างหนักแต่เราก็ไม่ยักรู้ตัว หรือบางทีก็รู้ตัวแต่ก็เพิกเฉย บางคนซ้ำร้ายมารู้ตัวตอนที่มันสาย มันต้องสูญเสียซะแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เพียงอยู่กับความทุกข์ ความเสียใจ ความเจ็บใจในความไร้น้ำยาของตนที่มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด

ผมว่าเราควรจะหัดโง่บ้าง ยอมรับบ้างเถอะว่าตัวเองก็โง่ แล้วลองลงมือทำพิสูจน์ความจริงด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของตนเอง เอาให้สุดซอย ไม่ต้องมานั่งคิดมากแค่ทำ ทำ แล้วก็ทำ หลับหูหลับตาทำ ทำตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งท่านสอนมา มองความจริงตรงหน้าอย่างไม่ปรุงแต่ง เอาไว้เราเข้าทางแล้ว เราเก่งกล้าแล้วค่อยว่ากัน ผมว่าสักวันถ้าเราไม่เจอทางออกก็เจอทางตัน อ่าว....งงกันเลย ก็อย่างน้อยเราก็ได้พิสูจน์ด้วยตาตนเองแล้วว่าเดินไปมันตัน เราจะได้หาเครื่องไม้เครื่องมือมาขุด มาผ่าทางตันเพื่อเจอทางออกไง ผมว่าด้วยการเดินมุ่งตรงไปเพื่อสู่จุดหมายมันไม่ไกลหรอก ไม่เสียพลังแรงงานเปล่าๆปลี้ๆกับการหลงทางด้วย ใครจะว่าโง่ก็เอาเหอะ ยังไงสุดท้ายแล้วเราก็ได้ตอบได้ซักทีว่า "ที่จริงแล้วเรารู้จริง หรือแท้จริงเราไม่รู้อะไรเลย"

ปล. พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เขียนให้ออกแนวธรรมะนะ แต่มันก็ไม่พ้นหรอก คือคุณต้องเลือกเชื่อให้ถูกแล้วทำให้ถูกเพื่อจะแก้ความทุกข์ยากที่เกิดในชีวิตจากต้นตอของปัญหา

วิรุฬห์บัณฑิต

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

คุณค่าของความมานะอดทน

ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกสิ่งอย่างถูกผลิตขึ้นอย่างมากมายหลากหลาย นวัตกรรมเพื่อชีวิตที่สะดวกขึ้น เร็วขึ้น สบายยิ่งขึ้น นับเป็นคำที่เราๆท่านๆคุ้นเคย และด้วยสนนราคาที่พอจะเอื้อมถึงทำให้เราไล่ไขว่คว้ากันอย่างบ้าคลั่ง พอสิ่งหนึ่งออกมา คู่แข่งขันทางการตลาดก็มักจะเกิดขึ้นพร้อมจุดเด่นที่โดนใจผู้บริโภคยิ่งกว่า นั่นยิ่งทำให้บริโภคยิ่งเมามันไปกับสิ่งที่เลือกซื้อ เลือกหามาได้ ซึ่งมันก็ไม่ยากเลยถ้าคุณอยากได้และมีเงินทองไว้จับจ่าย ผู้ผลิตก็ยังคงพร้อมเสมอที่จะผลิตสินค้ามาเสนอขายคุณ

จากเหตุผลข้างต้นทำให้คนยุคใหม่ไม่หยุดยั้งในความต้องการของตน ของอะไรดี ของอะไรใหม่ ฉันต้องได้ ฉันต้องมี ของเก่าตกรุ่น เริ่มเบื่อ เริ่มช้า เริ่มล้าสมัย เริ่มต้องซ่อมต้องเสียก็เปลี่ยนใหม่ ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี นั่นจึงเป็นเหตุให้คนมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆลดลง

หากย้อนกลับมาดูวิถีชีวิตคนนั้น เหล่ามหาบุรุษผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของคนหมู่มากทั้งหลายล้วนไม่ได้เกิดมาพร้อมความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่เราเลือกซื้อเลือกหาของแล้วได้มาง่ายๆไม่ แต่ละท่านล้วนต้องเดินบนทางที่ยากลำบากเช่นเดียวกับคนธรรมดาอย่างเรา แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับมหาบุรุษ คือ ความมานะอดทน

เคยมีคนกล่าวไว้ว่ามันไม่มีคนล้มเหลวหรอก มันมีแต่คนล้มเลิกเสียก่อนที่จะสำเร็จ คำกล่าวนี้ใช่ว่าจะเป็นคำพูดที่กล่าวเกินจริงไม่ เพราะหากคุณยังคงก้าวเดิน เดินต่อไปทีละก้าว ทีละก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง ซักวันมันต้องถึงซึ่งจุดหมายปลายทางได้แน่นอน ผมขอรับประกัน เพราะได้เคยพิสูจน์กับตัวเองมาแล้วแต่ผู้ที่จะทำได้นั้นก็จะต้องมีความมานะอดทน เดินตามทางที่เลือก ทางที่ศรัทธาอย่างไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ แม้จะผิดหวัง แม้จะพลาดพลั้ง ก็จะขอลุกขึ้นสู้ต่อไป ถึงแม้ว่าความอดทนจะเป็นเหมือนของขม แต่ผู้คนก็จำต้องฝืนกลืนกินเข้าไปเพื่อจะได้ก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จ

ถ้าเราอยากเป็นมหาบุรุษโลกจารึกล่ะ ต้องใช้ความอดทนรูปแบบไหน ผู้ที่เป็นมหาบุรุษท่านจะต้องศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลายในหนทางแห่งความดีงาม ต้องมีมานะอดทน ไม่ย่อท้อเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่าคนธรรมดามากจนประมาณไม่ได้ ท่านจะเดินไปบนหนทางที่ดีงามนั้น ไม่ใช่เพื่อตัวของท่านหากแต่เพื่อยังประโยชน์สุขแก่คนโดยส่วนรวมแม้ต้องเผชิญความยากลำบากทั้งกายใจ แม้สำเร็จแล้วไม่ได้อะไรก็จะไม่ท้อถอย จึงทำให้เราเห็นและซาบซึ้งในคุณงามความดีของท่าน ยอมสยบ ยอมศิโรราบให้แก่เหล่ามหาบุรุษอย่างหมดหัวใจ

ดังนั้นบทสรุปของความมานะอดทนคือความสำเร็จในชีวิตตน แต่หากผู้ที่อยากเป็นคนเหนือคน เป็นมหาบุรุษที่คนทุกผู้ยอมศิโรราบด้วยหัวใจ จำเป็นต้องมีความมานะอดทนบนหนทางแห่งความดี ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีหัวใจที่เข้มแข็งมีความมานะอดทน เพื่อความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวังสืบไป

วิรุฬห์บัณฑิต