วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไร

ความฉลาดเป็นจุดเด่นของมนุษย์ที่เรายอมรับกันมาแต่ไหนแต่ไร  จนเราตั้งตนเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรสัตว์ได้ก็ด้วยความฉลาด ความฉลาดของเรานั้นเกิดจากการเรียนรู้ การเรียนรู้ในช่วงรุ่งอรุณของประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นเริ่มจากการทำเพื่อแก้ปัญหาในการดำรงค์ชีวิต และมีการถ่ายทอดกันโดยการบอกต่อ การเรียนรู้ได้พัฒนาไปจนปัจจุบันเป็นการศึกษากันอย่างแพร่หลาย อย่างเป็นระบบเพื่อสรรค์สร้างความฉลาดและความสามารถอันเป็นเลิศ

ปัจจุบันเรื่องของการศึกษา เรื่องของความรู้วิชาการมันก้าวหน้าไปมาก เรียกได้ว่าอยากรู้อะไรอยากเรียนอะไรก็สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีครูมีผู้อยากสอนเยอะแยะไปหมด ความรู้ต่างๆเหมือนอยู่รอบครอบตัวเราเลย อีกทั้งสังคมยังผลักดันให้เราเรียนรู้พัฒนาในด้านวิชาการไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลของความก้าวหน้าด้านการงาน ด้วยเหตุผลของการยกระดับฐานะ ด้วยเหตุผลของการหากลุ่มความร่วมมือ จนถึงด้วยเหตุผลของความพอใจที่ได้เรียนรู้ ทำให้ปริญญาถือเป็นเรื่องพื้นฐานเลย ใครๆก็มีปริญญากันทั้งนั้น ปริญญาใบเดียวอาจไม่พอด้วยซ้ำไป เรียนกันไปกันมาก็เก็บใบปริญญามาสะสมเป็นงานอดิเรก เป็นกันขนาดนั้น ทำให้คนยุคใหม่รู้สึกว่าตัวฉลาด อย่างน้อยก็รู้สึกว่าฉลาดกว่าคนรุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ละกัน

แต่เรียนมามากขนาดไหนก็ยังไม่พ้นต้องมีคำถามต่างๆเกิดขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นคำถามมีสาระหรือไม่ เป็นคำถามที่สามารถตอบได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็มักจะมีคำถามผุดขึ้นมาในชีวิตอย่างไม่ขาดสาย จนสุดท้ายก็ต้องพยายามงัดสิ่งที่ได้เรียนรู้มาทั้งชีวิต ใช้เหตุผลบ้าง ใช้อารมณ์บ้าง ใช้สัญชาติญาณบ้างมาตอบคำถามเรื่อยไป จนพัฒนาองค์ความรู้ที่สับสนและซับซ้อนขึ้นมาในตัวเอง จนเกิดเป็นคำถามชวนหัวว่า "ที่จริงแล้วเรารู้จริง หรือแท้จริงเราไม่รู้อะไรเลย"  เราเหมือนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แก้ปัญหาที่เผชิญตรงหน้าไม่ได้ งงใช่ไหมครับ ชีวิตมันลากมันพาเราไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ จุดที่เรา "ฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไร"

ที่ว่าฉลาดเกินจะเพลินจนไม่รู้อะไรคือ ถึงแม้เราเรียนเยอะมีความฉลาดในด้านวิชาการแต่เรากลับฉลาดในด้านศิลปะการดำเนินชีวิตน้อยลง ทำให้เราอาจจะสามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพได้แต่เรากลับเผชิญกับปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่บั่นทอนชีวิต กัดกร่อนทำลายอย่างหนักแต่เราก็ไม่ยักรู้ตัว หรือบางทีก็รู้ตัวแต่ก็เพิกเฉย บางคนซ้ำร้ายมารู้ตัวตอนที่มันสาย มันต้องสูญเสียซะแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เพียงอยู่กับความทุกข์ ความเสียใจ ความเจ็บใจในความไร้น้ำยาของตนที่มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด

ผมว่าเราควรจะหัดโง่บ้าง ยอมรับบ้างเถอะว่าตัวเองก็โง่ แล้วลองลงมือทำพิสูจน์ความจริงด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของตนเอง เอาให้สุดซอย ไม่ต้องมานั่งคิดมากแค่ทำ ทำ แล้วก็ทำ หลับหูหลับตาทำ ทำตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งท่านสอนมา มองความจริงตรงหน้าอย่างไม่ปรุงแต่ง เอาไว้เราเข้าทางแล้ว เราเก่งกล้าแล้วค่อยว่ากัน ผมว่าสักวันถ้าเราไม่เจอทางออกก็เจอทางตัน อ่าว....งงกันเลย ก็อย่างน้อยเราก็ได้พิสูจน์ด้วยตาตนเองแล้วว่าเดินไปมันตัน เราจะได้หาเครื่องไม้เครื่องมือมาขุด มาผ่าทางตันเพื่อเจอทางออกไง ผมว่าด้วยการเดินมุ่งตรงไปเพื่อสู่จุดหมายมันไม่ไกลหรอก ไม่เสียพลังแรงงานเปล่าๆปลี้ๆกับการหลงทางด้วย ใครจะว่าโง่ก็เอาเหอะ ยังไงสุดท้ายแล้วเราก็ได้ตอบได้ซักทีว่า "ที่จริงแล้วเรารู้จริง หรือแท้จริงเราไม่รู้อะไรเลย"

ปล. พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เขียนให้ออกแนวธรรมะนะ แต่มันก็ไม่พ้นหรอก คือคุณต้องเลือกเชื่อให้ถูกแล้วทำให้ถูกเพื่อจะแก้ความทุกข์ยากที่เกิดในชีวิตจากต้นตอของปัญหา

วิรุฬห์บัณฑิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น